Web
                        Analytics
สรุปสถานการณ์การลงทุน วันที่ 18/11/2019

สรุปสถานการณ์การลงทุน วันที่ 18/11/2019

18 Nov 2019   |    1343


Global Economy

[Trade war] มีความคืบหน้าต่อเนื่องในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน โดยล่าสุด ในวันเสาร์ที่ 16 พ.ย. ที่ผ่านมา นายหลิว เหอ จากจีน และมนูชิน จากสหรัฐ ซึ่งเป็นตัวแทนเจรจาการค้าสำคัญของทั้ง 2 ฝ่าย ได้พูดคุยทางโทรศัพท์เกี่ยวกับรายละเอียดของข้อตกลงการค้า เฟส 1

[Stock market] ดัชนีดาวโจนส์และ S&P ของสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สะท้อนปัจจัยบวกเกี่ยวกับความสำเร็จในการเจรจาสงครามการค้า

[FED] นายเจอโรม พาวเวลล์ ได้แถลงชี้แจงถึงความกังวลอัตราดอกเบี้ยหากอยู่ระดับต่ำเป็นเวลายาวนานอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อระบบการเงิน โดยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำจะกดดันกำไรกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ผลักดันให้มีธนาคารพาณิชย์อาจกระทำพฤติกรรมเสี่ยงเพื่อแสวงหากำไรชดเชยกำไรจากดอกเบี้ยที่ลดลง เป็นความเสี่ยงต่อระบบการเงิน

Thai Economy

สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) มีแผนที่จะออกพันธบัตรออมทรัพย์วงเงิน 20,000 ล้านบาท โดย 5 พันล้านบาทอัตราดอกเบี้ยสูงพิเศษสำหรับผู้สูงอายุ และส่วนที่เหลือ 15,000 ล้านบาทเสนอขายแก่ประชาชนทั่วไปในช่วงก่อนปลายปีนี้ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายอุตตม สาวนายน ได้มอบนโยบายให้สบน.เสนออัตราดอกเบี้ยให้สูงกว่าอัตราปกติของตลาด โดยจะจำหน่ายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือผ่านทางแอปพลิเคชั่นบอนด์ ไดเร็ค (BOND DIRECT) วงเงิน 5,000 ล้านบาท ซึ่งการจำหน่ายผ่านระบบดังกล่าว จะช่วยลดเวลาในกระบวนการออกพันธบัตรจากเดิม 15 วันเหลือไม่ถึง 2 วัน เป็นหนึ่งในมาตรการบรรเทาภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำซึ่งอาจนำไปสู่พฤติกรรม searching for yield สำหรับผู้มีรายได้น้อย ลดความเสี่ยงต่อระบบเศรษฐกิจ

ค่ายรถทั้งยุโรปและญี่ปุ่นหยุดลงทุนรถไฟฟ้าหรือ Electric vehical (EV) โดยทางค่ายเบนซ์หยุดแผนแบบไม่มีกำหนด โดยชี้แจงสาเหตุหลักรัฐบาลส่งเสริมไม่ถูกจุด ระบุทุ่มลงทุนโรงงานแบตเตอรี่แค่รองรับกลุ่มรถไฮบริด และปลั๊ก-อิน ไฮบริด ทั้งนี้ คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กำหนดรูปแบบส่งเสริม 3 รูปแบบ ได้แก่ รถยนต์ไฟฟ้าแบบผสมที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงและพลังงานไฟฟ้า (ไฮบริด หรือ HEV) รถยนต์ไฟฟ้าแบบผสมเสียบปลั๊ก (ปลั๊ก-อิน ไฮบริด หรือ PHEV) และรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV) โดยมีแพ็กเกจด้านภาษีสรรพสามิตสนับสนุนคิดในอัตรา 50% สำหรับสองแบบแรก และอัตรา 2% สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ที่ประกาศไปเมื่อเดือนมีนาคม ปี 2560 และอีกประเด็นหนึ่งที่กังวล คือ ประเทศไทยมีข้อตกลงทางการค้ากับจีน ซึ่งสามารถนำรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนเข้ามาขายได้ เสียภาษี 0%

กรอบการลงทุน

ดัชนี SET ณ สิ้นวันศุกร์ อยู่ที่ระดับ 1602.23 จุด จากสัปดาห์ก่อนหน้าที่ 1637.85 จุด ปรับตัว -2.17%

คาดหวังแรงซื้อจากกองทุน LTF ซึ่งนักลงทุนจะซื้อกองทุนในช่วง 1-2 เดือนท้ายของปี พยุงดัชนีตลาดหลักทรัพย์

แนวต้านระยะสั้น คือ 1750,1716,1677,1650 แนวรับระยะสั้นคือ 1600,1570 (กรอบ Correction)

ในระยะกลาง แนวรับสำคัญมากคือ 1570+-10, และแนวต้านที่ 1770

ประเมินตลาด sideway ในกรอบกว้าง เนื่องจากเศรษฐกิจในภาพรวมทั่วโลกส่งสัญาณชะลอตัวลงอย่างชัดเจน แต่ชดเชยด้วยรัฐบาลไทยมีมาตรการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องเพื่อชะลอการถดถอยของเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องระมัดระวังปัจจัยความเสี่ยง crisis ที่อาจพัฒนาขึ้นได้ โดยเฉพาะในภาวะที่เศรษฐกิจมีความเปราะบางมากยิ่งขึ้น


Share this article: