Web
                        Analytics
3 หลุมพรางในการเล่นหุ้น

3 หลุมพรางในการเล่นหุ้น

31 Aug 2015   |    11544


person-802035_1280

การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนอยู่ในระดับสูง โดยอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยจากการลงทุนระยะยาวอยู่ที่ประมาณ 10% ต่อปี แต่ผู้ลงทุนหลายคนไม่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้

เรามาดูกันว่า ข้อผิดพลาดที่ทำให้ผู้ลงทุนได้รับผลตอบแทนน้อยกว่าที่ควรจะเป็นมีอะไรบ้าง เพื่อช่วยหลีกเลี่ยงการกระทำดังกล่าว

1. ซื้อขายบ่อยเกินไป นักลงทุนไทยหลายคนเป็นนักลงทุนระยะสั้นถึงสั้นมาก โดยภายใน 1 วัน
นักลงทุนกลุ่มนี้จะมีการซื้อขายหุ้นที่บ่อยจากหลายเหตุผล เช่น ต้องการได้กำไรอย่างรวดเร็ว กลัวการขาดทุน มีเงินลงทุนน้อยจึงต้องซื้อขายให้จบภายใน 1 วัน ซึ่งนักลงทุนกลุ่มนี้มักจะพอใจ เมื่อตนเองได้กำไรจากการซื้อขายระยะสั้น แต่ไม่ได้พิจารณาถึงค่าธรรมเนียมการซื้อขาย (Commission) ที่จะต้องเสียจากการซื้อขายบ่อยๆ เรามาลองเปรียบเทียบการซื้อขายบ่อยๆ กับการลงทุนระยะยาวว่า เสียค่าธรรมเนียมการซื้อขายต่างกัน และมีผลกับกำไรอย่างไร ยกตัวอย่างเช่น นักลงทุน A ซื้อหุ้นราคา 100 บาท เป็นเงิน 100,000 บาท และขายเมื่อมูลค่าหุ้นปรับเพิ่มขึ้นเป็น 110 บาท หากค่าธรรมเนียมการซื้อขายอยู่ที่ 0.2578% ของมูลค่าการซื้อขาย ค่าธรรมเนียมของการซื้อขายครั้งนี้คือ 541.38 บาท ดังนั้น กำไรจากการลงทุนคือ 9,458.62 บาท (10,000-541.38) ขณะที่นักลงทุน B ซื้อหุ้นราคา 100 บาท เป็นเงิน 100,000 บาท ที่อัตราค่าธรรมเนียมการซื้อขายอยู่ที่ 0.2578% ของมูลค่าการซื้อขาย เหมือนกับนักลงทุน A แต่จากนั้นนักลงทุน B ขายหุ้นที่ราคา 105 บาท  แล้วกลับมาซื้อที่ 105 บาท และขายที่ 110 บาท ค่าธรรมเนียมจากการซื้อขาย 2 ครั้ง ของนักลงทุน B คือ 1,082.76 บาท ส่งผลให้กำไรจากการลงทุนครั้งนี้ของนักลงทุน B อยู่ที่ 8,917.24 บาท (10,000-1,082.76) ซึ่งน้อยกว่ากำไรของนักลงทุน A อยู่ประมาณ 541.38 บาท จากตัวอย่างข้างต้น แสดงให้เห็นว่า การซื้อขายหุ้นบ่อยๆ อาจส่งผลให้กำไรจากการลงทุนลดลงได้

2. ไม่มีวินัยในการลงทุน ความโลภและความกลัวเป็นสิ่งที่ผู้ลงทุนมักเผชิญในการลงทุนอยู่เสมอๆ ในช่วงที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น หลายคนมักจะไม่ขายทำกำไร แม้ว่าก่อนหน้านี้ ตั้งใจว่าจะขายที่ระดับราคาหนึ่ง เพราะอยากได้กำไรเพิ่มขึ้น จากนั้นเมื่อราคาหุ้นปรับตัวลง จนทำให้กำไรที่ควรจะได้กลายเป็นขาดทุน ก็จะรู้สึกเสียดายเป็นอย่างมาก ในทางกลับกัน สำหรับผู้ที่เล่นหุ้นแบบเก็งกำไรระยะสั้นซึ่งจะต้องมีการหยุดขาดทุน (Stop Loss) เพื่อจำกัดขอบเขตการขาดทุน แต่หลายคนมักทำใจไม่ได้ที่จะต้องขายขาดทุนเมื่อราคาลดลงมาในจุดที่ตั้งใจไว้ ส่งผลให้ยอดการขาดทุนสูงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุด เมื่อยอดการขาดทุนอยู่ในระดับสูง และหุ้นตัวนั้นไม่มีแนวโน้มที่ราคาจะเพิ่มสูงขึ้น ก็จะตัดใจขายหุ้นออกไป ส่งผลให้พบกับยอดขาดทุนเป็นจำนวนเงินที่สูงมาก
ในความเป็นจริงแล้ว หากตัดสินใจขายที่จุดหยุดขาดทุน (Stop Loss) จะยังมีโอกาสนำเงินก้อนดังกล่าวไปเก็งกำไรในหุ้นตัวใหม่ เพื่อสร้างโอกาสการทำกำไรได้ ดังนั้น หากตั้งใจซื้อหรือขายหุ้นตัวไหนแล้ว ควรปฏิบัติตามที่ได้ตั้งใจไว้ การขาดวินัยในการลงทุนอาจทำให้สูญเสียโอกาสในการทำกำไรจากการลงทุนได้

3. ราคาในอดีตเป็นอย่างไร อนาคตก็จะเป็นเช่นนั้น ผู้ลงทุนหลายคนมักใช้ราคาหุ้นในอดีตเป็นบรรทัดฐานในการลงทุน เช่น หุ้น กอไก่ ซึ่งปัจจุบันมีราคาหุ้นที่ 70 บาท ในอดีตราคาหุ้นเคยขึ้นไปที่ 100 บาท แต่ปัจจุบันบริษัทมีคู่แข่งมากขึ้น ทำให้ความสามารถในการทำกำไรลดน้อยลง ดังนั้น โอกาสที่ราคาหุ้นจะกลับขึ้นไปที่ 100 บาท จะเกิดขึ้นได้ยาก ผู้ลงทุนที่มีหุ้น กอไก่ จึงไม่ควรคาดหวังที่จะขายหุ้นที่ราคา 100 บาท เพียงอย่างเดียว แต่ควรพิจารณาถึงมูลค่าเหมาะสมของบริษัทว่าเป็นอย่างไร เช่น มูลค่าเหมาะสมของหุ้นอยู่ที่ 60 บาท และต้นทุนของอยู่ที่ 50 บาท หากต้องการขายหุ้น ควรขายเมื่อราคาใกล้เคียงกับมูลค่าเหมาะสมที่ 60 บาท ไม่ควรรอขายที่ 100 บาท ดังนั้น ในการลงทุนหุ้น ผู้ลงทุนควรพิจารณาถึงมูลค่าเหมาะสมของบริษัท แทนที่จะดูแค่ราคาหุ้นในอดีตที่ผ่านมา

การลงทุนในหุ้นให้ได้ผลตอบแทนที่ดีไม่ใช่เรื่องยาก เพียงผู้ลงทุนมีความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่ลงทุนและมีวินัยในการลงทุน รวมทั้งหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่มักเกิดขึ้นในการลงทุน ก็จะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในการลงทุนได้ไม่ยาก


Share this article: