สรุปสถานการณ์การลงทุน วันที่ 11/11/2019
11 Nov 2019 | 1166
- Deepscope Site Admin
Global Economy
[Trade war] ในวันที่ 7 พ.ย. ที่ผ่านมา มีสัญญาณเชิงบวกเกี่ยวกับสงครามการค้า โดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีนและสหรัฐ ออกมาชี้แจงว่า อาจมีการถอนคืนการมาตรการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนที่มีผลบังคับใช้ไปแล้ว แต่ในวันถัดมา ประธานาธิบดี ทรัมป์ แถลงจะไม่ยกเลิกมาตรการการขึ้นภาษีที่มีผลบังคับใช้ดังกล่าว เป็นสัญญาณเชิงลบ
Thailand Economy
ธปท. มีมติลดดอกเบี้ยลง 25 bps จาก 1.50% เป็น 1.25% ด้วยมติ 5:2 ตามที่ตลาดคาดการณ์ แต่ทั้งนี้ ตลาดคาดการณ์ว่า ธปท. จะคงดอกเบี้ยอย่างน้อยไปจนถึงสิ้นปี 2020 เนื่องจากมุมมองอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับที่ต่ำมาก และกังวลพฤติกรรม searching for yield
ธนาคารพาณิชย์ไทย ทยอยปรับลดดอกเบี้ยเงินฝากและดอกเบี้ยเงินกู้ เช่น ธนาคารไทยพาณิชย์ลดดอกเบี้ยทั้งเงินฝากและเงินกู้ -0.25% ธนาคารกสิกรไทย ปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ MLR -0.25% และดอกเบี้ยเงินฝากนิติบุคคล 0.07%-0.25% ในขณะที่ธนาคารกรุงเทพลดเฉพาะดอกเบี้ย MLR -0.25%
อัตราเงินเฟ้อไทยเดือน ต.ค. ขยายตัว 0.11% YoY (vs 3.2%ในเดือนก.ย.) ขยายตัวที่ต่ำที่สุดในรอบ 28 เดือน
ธปท.ออก 4 มาตรการ ผ่อนคลายกฎเกณฑ์นำเงินออกนอกประเทศ
1. มาตรการยกเว้นการนำรายได้จากการส่งออกกลับประเทศ โดยเพิ่มวงเงินต่อใบขนที่สามารถพักเงินไว้ในต่างประเทศได้ (จากเดิมที่ รายได้จากการส่งออก ธปท.กำหนดให้ผู้ส่งออกต้องนำเงินกลับเข้าประเทศในเวลาที่กำหนด)
2. มาตรการการลงทุนในหลักทรัพย์ในต่างประเทศ โดยอนุญาตให้นักลงทุนรายย่อยออกไปลงทุนในต่างประเทศได้ด้วยตนเองโดยให้นักลงทุนมาขึ้นทะเบียนกับ ธปท. และแจ้งยอดคงค้างการลงทุนให้ ธปท.รับทราบทุกปี โดยไม่ผ่านตัวกลาง วงเงินลงทุน 200,000 เหรียญสหรัฐฯต่อปี (จากเดิม กำหนดให้ต้องเป็นผู้มีรายได้ เกิน 50 ล้านบาท หรือต้องลงทุนผ่านตัวกลาง)
3. มาตรกาเปิดเสรีการโอนเงินออกนอกประเทศ โดยปรับเป็นการโอนเงินแบบเปิดเสรีการโอนเงินออกนอกประเทศได้ทุกวัตถุประสงค์ (จากเดิมที่โอนได้เฉพาะวัตถุประสงค์ที่ ธปท.กำหนด)เพื่อเพิ่มจำนวนการโอนเงินออกไปนอกประเทศ => คาดหวังผลลัพธ์ เร่งการนำเงินออกจากต่างประเทศ
4. มาตรการการซื้อขายทองคำด้วยสกุลเงินต่างประเทศ เพื่อลดการนำเงินบาทไปซื้อดอลลาร์เพื่อซื้อทองคำ เนื่องจากความต้องการทองคำสูงขึ้นจากการเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงภาวะเศรษฐกิจมีความเสี่ยง
กรอบการลงทุน
ดัชนี SET ณ สิ้นวันศุกร์ อยู่ที่ระดับ 1637.85 จุด จากสัปดาห์ก่อนหน้าที่ 1592.52 จุด ปรับตัว -0.06% กลับมายืนเหนือระดับ 1600 ได้อีกครั้ง
ปัจจัยหลักของการปรับขึ้นของดัชนีในสัปดาห์ที่ผ่านมา คือ แรงซื้อจากกองทุน LTF ซึ่งนักลงทุนจะซื้อกองทุนในช่วง 1-2 เดือนท้ายของปี
แนวต้านระยะสั้น คือ 1750,1716,1677,1650 แนวรับระยะสั้นคือ 1600,1570 (กรอบ Correction)
ในระยะกลาง แนวรับสำคัญมากคือ 1570+-10, และแนวต้านที่ 1770
ประเมินตลาด sideway ในกรอบกว้าง เนื่องจากเศรษฐกิจในภาพรวมทั่วโลกส่งสัญาณชะลอตัวลงอย่างชัดเจน แต่ชดเชยด้วยรัฐบาลไทยมีมาตรการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องเพื่อชะลอการถดถอยของเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องระมัดระวังปัจจัยความเสี่ยง crisis ที่อาจพัฒนาขึ้นได้ โดยเฉพาะในภาวะที่เศรษฐกิจมีความเปราะบางมากยิ่งขึ้น